10 สถานที่ในโลกที่...ไม่ควรไป(เหยียบ)
10 สถานที่ในโลกที่...ไม่ควรไป(เหยียบ)
10.Bubbly Creek
เป็นชื่อเล่นที่ตั้งแม่น้ำทางใต้ของชิคาโก อิลลินอยด์แต่เดิมเป็นพื้นที่ธรรมดา หากแต่เมื่อในช่วงศตวรรษที่ 19
สถานที่แห่งนี้กลายเป็นที่ทิ้งซากสัตว์ที่มาจากโรงฆ่าสัตว์จำนวนมาก เช่นเลือดและอวัยวะภายในลงไปในน้ำ
ส่งผลทำให้เกิดฟองก๊าซมีเทนและก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ทำให้น้ำมีพิษสูงบริเวณโดยรอบกลิ่นเหม็น
แม้มีโปรแกรมอัดอากาศลงในน้ำจนเกิดผลสำเร็จอยู่บ้างแต่ทางการก็ออกประกาศต่อคนในห้องถิ่นว่า
ไม่ควรอยู่ใกล้สถานที่นี้หากไม่จำเป็น และพื้นที่แห่งนี้ถูกนำมาเขียนเป็นนวนิยาย
ในชื่อ The Jungle: UptonSinclair ที่วิจารณ์อเมริกาในเรื่องอุตสาหกรรมบรรจุเนื้อสัตว์
9.Centralia, Pennsylvania
คุณเคยดูภาพยนตร์เรื่อง Silent Hill(เมืองห่าผี) สิ่งที่หลายคนมักจดจำเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ
ฉากเมืองที่มี หมอก หรือควัน อะไรสักอย่างปกคลุมจนมองข้างหน้าไม่เห็น
หลายคนเห็นเมืองแบบนี้แล้วน่ากลัวไม่อยากจะไปเลย หากแต่คุณเชื่อหรือไม่ว่าบนโลกแห่งนี้มีเมืองลักษณะแบบนี้อยู่
เมืองนี้มีชื่อว่าเซ็นทราเลีย รัฐเพนซิลวาเนียสมัยก่อนเมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุตสาหกรรมเหมืองถ่านหิน
มีทั้งสถานีรถไฟ โบสถ์ โรงแรมห้าดาว โรงเรียน โรงละคร ธนาคาร ไปรษณีย์และร้านค้าทั่วไป
แต่แล้วในปี 1962 ได้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่ในเมืองนี้ขึ้นโดยต้นเพลิงมาจากมีคนจุดไฟเผาขยะทิ้งไว้ในบ่อของเหมือง
จากนั้นไฟได้ติดถ่านหินและขยายวงกว้างจนคลุมพื้นที่ใต้ดินของบ้านเรือนทั้งหมด ไฟได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
แม้มีการพยายามใช้เงินนับล้านในการดับไฟแต่ก็ไม่เป็นผล และมันก็ยังไหม้อยู่จนทุกวันนี้(นานกว่า 40 ปีเข้าไปแล้ว)
หลายคนได้รับพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ทั้งในอากาศและการปนเปื้อนรวมถึงการเกิดเหตุดินยุบลึกลงไปเป็นร้อยฟุต
จนทางการต้องหาที่อยู่ใหม่แก่ชาวเมือง แต่อย่างไรก็ตามก็มีบางครอบครัวเลือกที่จะอยู่ต่อ และพวกเขาก็ยังอยู่ที่นั่น
แม้ว่ารัฐเพนซิลวาเนียจะประกาศห้ามใช้ตึกทุกหลังในเมืองนั้นและกรมไปรษณีย์สหรัฐได้ยกเลิกรหัสพื้นที่ของที่นั่นก็ตาม
ในปี 1981เซ็นทราเลียมีผู้คนอาศัยอยู่ถึง 1,000 ครัวเรือนแต่ปัจจุบันจำนวนลดจนแทบนับจำนวนคนได้
8. Dallol
บางทีสถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่สวยงามที่สุดใน 10 อันดับของเราเพราะว่าดูจากภาพเราได้เห็นทิวทัศน์ที่แปลกตา
มีสีสันมากมายไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง สีส้ม สีเขียว หรือสีแดงซึ่งเกิดจากเกลือร้อนๆ เดือดปุดๆ โดยดูความสวยงามได้ที่คลิปข้างล่าง
http://www.youtube.com/watch?v=utBszQxJuwM&feature=player_embedded
Dallolเป็นสถานที่ที่อยู่ทางเหนือของเอธิโอเปีย(แค่ชื่อประเทศก็ไม่น่าไปแล้วล่ะมั้ง) ในระดับสูง 50 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
ซึ่งเป็นพื้นที่เมืองผี(หมายถึงเมืองร้าง)สาเหตุพื้นที่แห่งนั้นใกล้ภูเขาไฟทำให้อุณหภูมิในพื้นที่นั่นร้อนเกินไป
ไม่เหมาะจะเป็นสถานที่อยู่อาศัยนอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ยังถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ห่างไกลที่สุดในโลกถนนก็ไม่มี
การขนส่งต้องไปทางบกโดยใช้อูฐของคาราวาลเท่านั้นเพื่อไปเก็บเกลือซึ่งมีอยู่เต็มในบริเวณนั้น
แม้ครั้งหนึ่งที่แห่งนี้เคยมีรางรถไฟหากแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2มันก็ถูกปิดตัวลงเนื่องจากมีเส้นทางการค้าที่ดีกว่ามาทดแทน
ส่วนสาเหตุสถานที่แห่งนี้ไม่ควรไปเนื่องจากมันตั้งอยู่ใกล้ชายแดนที่มีความขัดแย้งในหลายปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวที่พยายาม
จะเป็นสถานที่แห่งนี้มักถูกกลุ่มโจรทำอันตรายอยู่บ่อยครั้ง แต่หากคุณอยากจะไปเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้จริงๆ
คุณจำเป็นต้องมียานพาหนะติดอาวุธไปด้วย
7.Hanford Site
แฮนฟอร์ด สถานที่แห่งนี้อยู่ในภาคใต้ของวอชิงตัน อเมริกาอดีตเคยเป็นชุมชนเกษตรกรรมขนาดเล็ก ก่อนที่ในปี 1943
พื้นที่แห่งนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในโครงการแมนฮัตตันในการผลิตพลูโตเนียมเพื่อใช้ในโรงงานนิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุด
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และในช่วงสงครามเย็น และเนื่องด้วยผลิตพลูโตเนียมมากเกินไป
ทำให้ของเสียกากกัมตภาพรังสีออกมามีจำนวนมากจนทางรัฐบาลไม่มีแผนจะจัดการสารดังกล่าวจนเป็นเหตุ
ทำให้พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยการปนเปื้อนกากกัมตภาพรังสีและปนเปื้อนระบบนิเวศในอากาศ
ทำให้มีประชาชนพื้นที่แห่งนี้ได้รับสารก่อมะเร็งและสารพิษหลายราย
6. Dzerzhinsk
เมืองเดอร์ซินสค์ เป็นเมืองที่อยู่ในรัสเซีย ตั้งอยู่บนแม่น้ำ Okaอยู่ไม่ไกลจากทางตะวันออกของกรุงมอสโก
ประมาณ 400 กิโลเมตรเมืองนี้ก่อตั้งเมื่อปี 1920 ตามนายเฟลิกซ์ เซียรชินสค์หัวหน้าหน่วยเคจีบีคนแรก
(ในสมัยก่อนเรียกหน่วยนี้ว่า หน่วย เชก้า )
จุดเริ่มต้นที่เมืองนี้กลายเป็นสถานที่น่ากลัวเริ่มขึ้นเมื่อปี1941(จนถึงปัจจุบัน) โดยปี 1941ก่อนจะถึงในสมัยสงครามเย็นนั้น
เมืองแห่งนี้ได้กำหนดเป็นแหล่งผลิตอาวุธเคมีชั้นนำของประเทศ ซึ่งอาวุธเคมีที่ว่าล้วนเป็นพิษและอันตรายทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นไดออกซิน , สารหนู, ซาริน , เลวิไซต์ , ซัลเฟอร์มัสตาร์ด ,ไฮโดรเจนไซยาไนด์ , ฟอสจีน และตะกั่ว
รวมทั้งอินทรีย์เคมีอื่นๆจนกระทั้งมีการหยุดผลิตสารพิษนี้ลงก็ถึงคราวเกิดปัญหาเมื่อทางรัฐบาลไม่รู้จะจัดการสารพิษ
จำนวนมากนี้ได้อย่างไร ทำให้มีการจัดการแบบง่ายๆ คือเอาไปฝังดินหรือทิ้งลงแม่น้ำส่งผลทำให้มีสารตกค้างจนถึงทุกวันนี้
และประชากรนั้นเมืองนี้ป่วยและตายด้วยสารพิษตกค้างเพิ่มขึ้นทุกปีปัจจุบันเมืองแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางผลิตสารเคมี
และได้ถูกระบุว่ามีระดับมลภาวะที่เลวร้ายที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง น้ำประปาปนเปื้อน สารเคมีตกค้าง
และเมืองแห่งนี้ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวจากภายนอกเข้าชม
5. Dharavi
เป็นสลัมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย อยู่ในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ที่หลายๆเว็บบอกว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เจาะลึก
สภาพชีวิตของอินเดียชนิดที่เรียกว่าไม่ไปสถานที่แห่งนี้แสดงว่าคุณไม่ไปถึงอินเดียที่แท้จริง สาเหตุที่ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
เพราะว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นแหล่งทำเครื่องปั้นดินเผาและอุตสาหกรรมสิ่งทอส่วนสาเหตุที่แออัดก็ง่ายมากอินเดีย
เป็นประเทศที่ประชากรมากอันดับต้นๆของโลกแต่คุณภาพชีวิตประชาชนต่ำดังนั้นพวกเขาเลยแห่ไปยังเมืองหลวงเพื่อหางานทำ
แต่ว่าเมืองมุมไบที่กินที่อยู่แพงเหลือเกินดังนั้นสลัมจึงเป็นทางเลือกที่ดี โดยค่าเช่า 185 รูปี(4เหรียญสหรัฐ)ต่อเดือนเท่านั้น
Dharaviเป็นพื้นที่สลัมที่มีประชากรเกินกว่าหนึ่งล้านคน แออัดในพื้นที่ 2.2ตร.กม. สภาพแวดล้อมที่นั้นสกปรกและแออัด
อีกทั้งผู้คนในที่แห่งนี้ดูแล้วไม่เป็นมิตรบรรยากาศเหมือนบอกว่านี้ไม่ใช่สถานที่ที่นักท่องเที่ยวมาเดินน่ะเฟ้ย
พื้นที่ส่วนใหญ่รถเข้ามาไม่ได้ระบบระบายน้ำก็ดีมากชนิดว่าฝนตกเมื่อไหร่น้ำท่วมเมื่อนั้น และปี 2006
มีสถิตน่าสนใจคือห้องน้ำสาธารณะในพื้นที่แห่งนี้หนึ่งห้องต้องรองรับคนกว่า1440 คนต่อวัน(คงไม่ต้องถามว่าสกปรกไหม)
ผลคือเมืองแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยปัสสาวะและสิ่งปฏิกูลต่างๆนำไปสู่การแพร่ระบาดของโรคติดต่อ
และพื้นที่แห่งนี้ได้ปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง Slumdog(2008) ด้วยน่ะ
4.Linfen
เมืองเทียนหยิงอยู่ในมณฑลอานฮุยทางภาคใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีนเมืองแห่งนี้มีปรากรกว่า 4.2 ล้านคน
และเมืองแห่งถูกอ้างเสมอว่าเป็นเมืองที่สกปรกที่สุดในโลกโดยมลพิษแห่งนี้ปกคลุมอยู่ทั่วเมืองเสมือนหมอกควัน
สาเหตุมลพิษเหล่านั้นมาจากการเผาไหม้ของถ่านหินโรงงานไฟฟ้าและโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีขั้นต่ำที่ผิดกฎหมาย
มาใช้ในการผลิตแม้ว่าเมืองแห่งนี้จะถูกกดดันจากสื่อและหน่วยงานด้านแวดล้อมแล้วก็ตามแต่กระนั้นจนถึงปัจจุบัน
เมืองแห่งนี้ก็ยังคงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษสารตะกั่วและโลหะหนักเหมือนเดิมชาวจีนที่อาศัยอยู่ที่นี้จะต้องถูกบังคับ
ให้สวมหน้ากากป้องกันจมูกตลอดวันมีรายงานว่าบางวันควันปกคลุมหนาแน่นมากจนมีบางเวลาที่คุณไม่เห็นมือของตนเอง
เวลาจะสัญจรด้วยรถจะต้องเปิดไฟตลอดเวลาและเด็กในเมืองนี้ป่วยเพราะสารพิษนี้เพิ่มขึ้นทุกปี
3. Room 39
เกาหลีเหนือแน่นอนมันกลายเป็นสถานที่ที่คุณไม่อยากจะไปอีกแห่งของโลกซึ่งไม่แนะนำให้คุณวางแผนไปท่องเที่ยวประเทศนี้
ในวันหยุดแน่นอนส่วนชื่อห้อง 39นั้นเป็นชื่อสำนักงานหรือหน่วยงานลับที่คาดว่าที่ทำการอยู่ที่เปียงยางเกาหลีเหนือ
ก่อตั้งในปี 1970โดยมีวัตถุประสงค์ในการรักษาเงินและเพิ่มเงินในกระเป๋าของท่านผู้นำคิม จองอิล(เจ้าประจำ)
โดยอย่างที่รู้กันว่าประเทศเกาหลีเหนือเป็นประเทศสันโดษความเป็นอยู่ในสภาพอดอยาก ประชาชนเป็นอยู่อย่างยากแค้น
ทำให้ไม่เกิดการพัฒนาหลายด้านทำให้ท่านผู้นำไม่สามารถหาเงินหรือใช้เงินได้สะดวกดังนั้นองค์กรนี้จึงได้ตั้งขึ้นเพื่องานนี้
โดยเฉพาะโดยคาดว่าเงินในกระเป๋าของผู้นำนี้มีเงินกว่า 5,000,000,000 ดอลลาร์องค์กรนี้จะทำวิธีไหนก็ได้เพื่อรักษาเงิน
หรือเพิ่มเงินให้ดีที่สุด เช่นฟอกเงิน ตั้งกองทุนปลอม ปลอมแปลงเงิน ทำกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น ค้าอาวุธ
ลักลอบขนยาเสพย์ติดและนอกจากนี้องค์กรนี้ยังมีอำนาจในการใช้เงินเพื่อสนับสนุนทางการเมืองและสร้างอาวุธนิวเคลียร์
2. Mogadishu
เป็นเมืองหลวงและใหญ่ที่สุดในโซมาเลีย ซึ่งเป็นประเทศแอฟริกาตะวันออก มีภูมิประเทศติดกับชายฝั่งทะเล
ในมหาสมุทรอินเดียที่ทำหน้าที่เป็นเมืองท่าสำคัญมานานหลายศตวรรษ หากแต่ในปี 1990
เมืองแห่งนี้เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนบัดดลเมื่อกองกำลังกบฏ
ที่นำโดยผู้นำทัพ โมฮาหมัด ฟาราห์ ไอดิค (Mohamed FarrahAidid)
ยึดเมืองเป็นฐานที่มั่น ส่งผลให้บ้านเมืองไม่มีกฎหมายประชากรอดอยาก
สหประชาชาติและอเมริกาเข้ามาแก้ปัญหาจนเกิดสงครามกลางเมือง
ทุกวันนี้โซมาเลียกลายเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีเสภียรภาพน้อยที่สุดในโลกเพราะประเทศนี้ไม่มีรัฐบาลที่เป็นที่ยอมรับ
ประชาชนอดอยากขาดโปรตีนถนนหลายสายชำรุด อาคารหลายหลังถูกทำลายเนื่องจากโดนระเบิดใจกลางเมือง
โจรสลัดระบาดโจมตีเรือที่ผ่านบริเวณนี้ทุกปีกองโจรมุสลิมปกครองด้วยกฎหมายศาลเตี้ย นอกจากนี้ยังมีการระเบิดฆ่าตัวตาย
จนมีประกาศว่านักท่องเที่ยวที่จะมาประเทศโซมาเลียให้เว้นระยะห่างจากเมืองหลวง(จะไปทำไมเนี้ย)
1.Cite Soleil
เป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นตั้งอยู่ในเขตเมืองไฮติ มีการประเมินว่ามีคนกว่า200,000 -300,000
คนอาศัยในพื้นที่แห่งนี้และนี้คือสถานที่แออัดที่สุดแห่งหนึ่งในโลกและยังเป็นหนึ่งในสถานที่อันตรายของโลก
มันไม่มีท่อระบายน้ำไม่มีร้านค้าใดๆ ไม่มีตำรวจ หรือไฟฟ้า หลังจากเกิดรัฐประหารในปี 1991
ประชาชนถูกเข้าสู่วงจรแห่งความยากจน ความว่างงานอยู่ในอัตราสูงประชากรไม่รู้หนังสือ
นอกจากนี้ยังเกิดสภาวะแก๊งติดอาวุธครองเมือง ในปี2004
เจ้าหน้าที่สหประชาชาติพยายามควบคุมพื้นที่หากแต่มันก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้
เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2010 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของไฮติส่งผลทำให้ประชาชนกว่า 230,000 ล้านคน
230,000 คนเสียชีวิตและประชากรไฮติกว่าหนึ่งล้านคนไม่มีที่อยู่อาศัย
ทำให้สถานที่สลัมแห่งนี้ยิ่งทวีความเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก เกิดอาชญากรรมแก๊งติดอาวุธเริ่มออกอาละวาดทั้งลักพาตัวปล้นจี้
ผู้คนส่วนใหญ่ในสลัมส่วนมากเป็นเด็กและเยาวชน และมีไม่กี่คนที่รอดจนถึงอายุ 50ส่วนมากเสียชีวิต
เพราะโรคเอดส์ โรคร้าย หรือความรุนแรงนอกจากนี้ยังเป็นแหล่งค้ามนุษย์ สมาชิกก่อการร้าย
นักโทษหนีจากคุกมันเป็นสถานทีน่ากลัวมากขนาดตำรวจไฮติยังไม่กล้าเข้าไปในนั้น
0. Orangi Town
เมืองแห่งนี้เป็นที่ตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยของผู้อพยพในตะวันตกเฉียงเหนือของการาจีประเทศปากีสถาน มันมีขนาดใหญ่กว่าสลัมในเมืองมุมไบ
แต่มีความหนาแน่นน้อยกว่า และองค์ประกอบหลายส่วนไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่านี้คือสลัม(เพราะส่วนใหญ่คนที่อยู่อาศัยเป็นชนชั้นกลาง)
ประชากรที่นี้มีประมาณ 2.5ล้านคน(แม้ทางภาครัฐจะบอกว่า 200,000 คน)เป็นมุสลินกับชนกลุ่มน้อยจำนวนมากหลากหลายวัฒนธรรม
ส่งผลให้เมืองแห่งนี้ประสบปัญหาความขัดแย้งชาติพันธุ์ แม้ว่าจะมีโครงการนำร้องในการให้ความรู้และการพัฒนาสร้างท่อส่งน้ำ ถนนและคลินิก
แต่อย่างไรก็ดีหลังจากสงครามอัฟกานิสถานทำให้มีผู้อพยพมาจำนวนมาก ความรุนแรงของสองเชื้อชาติ(ปากีสและอัฟกัน)ธุรกิจจำนวนมากปิดตัวลง
ถนนถูกทิ้งร้างผู้คนต้องอาศัยอยู่แต่ในบ้านความรุนแรง การข่มขืน เหตุระเบิดฆ่าตัวตายลักพาตัว และการสังหารกลายเป็นเรื่องปกติของที่นี้
ส่งผลให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่อันตรายที่สุดของโลกในที่สุด
อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2225909&pno=1#comment#ixzz1SdAGEUv8